Customer Reviews

เล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากเป็นนักเขียนนิยายค่ะ ไม่ว่านิยายรักวัยใสหรืออะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น หนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยนักเขียนทั้งมือใหม่มือเก๋าได้มาก
คนที่อยากเป็นนักเขียนหรือเคยลองเขียนนิยาย/เรื่องสั้นมาแล้วคงเคยประสบปัญหาสมองผูก หรือคิดพล็อตไม่ออกกันมาบ้าง จนพาลเลิกเขียนไป ลองยาแก้สมองผูกด้วยตราควายบินของวินทร์ เป็นยาระบายอ่อนๆ ได้ผลชะงัดนัก เล่มนี้สอนวิธีการนำสิ่งต่างๆรอบตัวมา”โฮะ”กันจนได้เป็นเรื่องราวใหม่ๆ สิ่งรอบตัวที่ว่าก็มีตั้งแต่ข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร สูตรยา ประกาศหางาน โฆษณา นิยายเล่มในตำนาน ประมาณนี้ นำมาผูกเรื่องเพื่อสร้างพล็อต เล่มเต็มไปด้วยตัวอย่างแหล่งข้อมูลและตัวอย่างพล็อตของผู้เขียนที่ยังไม่เคยใช้มาก่อน (เพียบ) โดยค่อยๆสอนเป็นขั้นตอน สอนให้เค้นเนื้อหาของแหล่งข้อมูล บอกลักษณะของข้อมูลนั้นๆ ผูกเรื่องด้วยการโยงลักษณะเด่นของแต่ละอันให้เข้าหากันจนกลายเป็นเรื่องราว เล่มนี้เขียนได้เข้าใจง่าย ไม่ต้องใช้คำหรูหราซับซ้อน (เพราะจุดประสงค์คือมีไว้สอนและแนะนำวิธีการเขียนเรื่องสั้น ต้องให้เข้าใจง่ายไว้ก่อน) รวมแล้วมี34สูตร ท้ายเล่มมีพล็อตนิยายเล่มดังต่างๆให้อ่านเล่น ทั้งพวกหนังสือจีนกำลังภายใน (ดาบมังกรหยก, ฤทธิ์มีดสั้น ฯลฯ) และไซไฟ (สตาร์วอร์, สตาร์เทร็ก,สเปซ โอดิซซี ฯลฯ)
แต่คนที่ไม่คิดจะเป็นนักเขียนนิยาย นำมาอ่านคงไม่เพลิดเพลินเจริญใจเท่าไหร่ อาจจะเสียเวลาเปล่า อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าเหมาะกับคนที่อยากเป็นนักเขียน ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อมาเก็บไว้เป็นหนังสือสามัญประจำบ้านก็ดีค่ะ

เล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากเป็นนักเขียนนิยายค่ะ ไม่ว่านิยายรักวัยใสหรืออะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น หนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยนักเขียนทั้งมือใหม่มือเก๋าได้มาก
คนที่อยากเป็นนักเขียนหรือเคยลองเขียนนิยาย/เรื่องสั้นมาแล้วคงเคยประสบปัญหาสมองผูก หรือคิดพล็อตไม่ออกกันมาบ้าง จนพาลเลิกเขียนไป ลองยาแก้สมองผูกด้วยตราควายบินของวินทร์ เป็นยาระบายอ่อนๆ ได้ผลชะงัดนัก เล่มนี้สอนวิธีการนำสิ่งต่างๆรอบตัวมา”โฮะ”กันจนได้เป็นเรื่องราวใหม่ๆ สิ่งรอบตัวที่ว่าก็มีตั้งแต่ข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร สูตรยา ประกาศหางาน โฆษณา นิยายเล่มในตำนาน ประมาณนี้ นำมาผูกเรื่องเพื่อสร้างพล็อต เล่มเต็มไปด้วยตัวอย่างแหล่งข้อมูลและตัวอย่างพล็อตของผู้เขียนที่ยังไม่เคยใช้มาก่อน (เพียบ) โดยค่อยๆสอนเป็นขั้นตอน สอนให้เค้นเนื้อหาของแหล่งข้อมูล บอกลักษณะของข้อมูลนั้นๆ ผูกเรื่องด้วยการโยงลักษณะเด่นของแต่ละอันให้เข้าหากันจนกลายเป็นเรื่องราว เล่มนี้เขียนได้เข้าใจง่าย ไม่ต้องใช้คำหรูหราซับซ้อน (เพราะจุดประสงค์คือมีไว้สอนและแนะนำวิธีการเขียนเรื่องสั้น ต้องให้เข้าใจง่ายไว้ก่อน) รวมแล้วมี34สูตร ท้ายเล่มมีพล็อตนิยายเล่มดังต่างๆให้อ่านเล่น ทั้งพวกหนังสือจีนกำลังภายใน (ดาบมังกรหยก, ฤทธิ์มีดสั้น ฯลฯ) และไซไฟ (สตาร์วอร์, สตาร์เทร็ก,สเปซ โอดิซซี ฯลฯ)
แต่คนที่ไม่คิดจะเป็นนักเขียนนิยาย นำมาอ่านคงไม่เพลิดเพลินเจริญใจเท่าไหร่ อาจจะเสียเวลาเปล่า อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าเหมาะกับคนที่อยากเป็นนักเขียน ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อมาเก็บไว้เป็นหนังสือสามัญประจำบ้านก็ดีค่ะ

มิงกะลาบา จะหน่อทายหลู่มะโย! (สวัสดีค่ะ ฉันเป็นคนไทย—บอกทำไม) ไหนๆก็จะเปิดประตูสู่อาเซียนแล้ว ลองมาเรียนภาษาพม่าหน่อยนะคะ คงเลี่ยงไม่ได้ว่าอีกไม่นานชาวพม่าเพื่อนบ้านเราจะเข้ามาในไทยมากขึ้นอีก บางคนมีชาวพม่าอยู่แถวบ้านแล้ว บางคนอยากไปเที่ยวที่ประเทศพม่า แต่ไม่ใช่คนพม่าทุกคนที่พูดไทยและอังกฤษได้ เตรียมพูดพม่าไว้บ้างก็ดีค่ะ เล่มนี้ไม่เน้นแกรมม่า ไม่ใช่พจนานุกรม แต่เน้นการสนทนาจริง มีคำอ่านภาษาไทย คำแปลภาษาไทย คำแปลภาษาอังกฤษ และตัวอักษรภาษาพม่า (ศัพท์หนึ่งคำมีสี่บรรทัด) แถมสอนหลักการอ่านภาษาพม่าด้วย! สอนตั้งแต่พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เผื่อไว้อ่านป้าย ซึ่งเราว่าเริ่มจำคำศัพท์มันก็ดีนะคะ เพราะว่านำไปได้ใช้จริง ถึงจะใช้แบบงูๆปลาๆ พูดเป็นคำๆให้พอสื่อสารได้ก็พอ
เล่มนี้แบ่งเป็นหมวดหมู่ตั้งแต่คำทักทายทั่วไป ศัพท์และประโยคที่น่าจะได้ใช้ในสถานที่ต่างๆ (สนามบิน โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ) ไปจนถึงศัพท์ทั่วไปอย่างสี ชื่อเดือน ศัพท์ในครอบครัวค่ะ ด้านท้ายมีข้อมูลประเทศพม่าที่ควรรู้ด้วย อาจดูราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับพจนานุกรมภาษาอื่นๆ อาจเป็นเพราะมันแถมซีดีการออกเสียงโดยเจ้าของภาษามาด้วยก็ได้
แต่ว่า... เราลองอ่าน และพยายามจำบางคำไปพูดกับสาวพม่าใกล้บ้าน เธอบอกว่าเราออกเสียงผิด ทั้งที่เราก็ออกเสียงตามคำอ่านภาษาไทยที่บอกในเล่มแล้ว ทำให้เราไม่มั่นใจในจุดนี้ว่าหนังสือเล่มนี้มันเขียนมาถูกแล้วรึเปล่า หรืออาจจะเป็นแค่บางคำที่ให้คำอ่านมาผิด...หรือในซีดีอาจจะออกเสียงถูกแล้วก็ได้ เหตุนี้จึงให้สี่ดาวจ้า

มิงกะลาบา จะหน่อทายหลู่มะโย! (สวัสดีค่ะ ฉันเป็นคนไทย—บอกทำไม) ไหนๆก็จะเปิดประตูสู่อาเซียนแล้ว ลองมาเรียนภาษาพม่าหน่อยนะคะ คงเลี่ยงไม่ได้ว่าอีกไม่นานชาวพม่าเพื่อนบ้านเราจะเข้ามาในไทยมากขึ้นอีก บางคนมีชาวพม่าอยู่แถวบ้านแล้ว บางคนอยากไปเที่ยวที่ประเทศพม่า แต่ไม่ใช่คนพม่าทุกคนที่พูดไทยและอังกฤษได้ เตรียมพูดพม่าไว้บ้างก็ดีค่ะ เล่มนี้ไม่เน้นแกรมม่า ไม่ใช่พจนานุกรม แต่เน้นการสนทนาจริง มีคำอ่านภาษาไทย คำแปลภาษาไทย คำแปลภาษาอังกฤษ และตัวอักษรภาษาพม่า (ศัพท์หนึ่งคำมีสี่บรรทัด) แถมสอนหลักการอ่านภาษาพม่าด้วย! สอนตั้งแต่พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เผื่อไว้อ่านป้าย ซึ่งเราว่าเริ่มจำคำศัพท์มันก็ดีนะคะ เพราะว่านำไปได้ใช้จริง ถึงจะใช้แบบงูๆปลาๆ พูดเป็นคำๆให้พอสื่อสารได้ก็พอ
เล่มนี้แบ่งเป็นหมวดหมู่ตั้งแต่คำทักทายทั่วไป ศัพท์และประโยคที่น่าจะได้ใช้ในสถานที่ต่างๆ (สนามบิน โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ) ไปจนถึงศัพท์ทั่วไปอย่างสี ชื่อเดือน ศัพท์ในครอบครัวค่ะ ด้านท้ายมีข้อมูลประเทศพม่าที่ควรรู้ด้วย อาจดูราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับพจนานุกรมภาษาอื่นๆ อาจเป็นเพราะมันแถมซีดีการออกเสียงโดยเจ้าของภาษามาด้วยก็ได้
แต่ว่า... เราลองอ่าน และพยายามจำบางคำไปพูดกับสาวพม่าใกล้บ้าน เธอบอกว่าเราออกเสียงผิด ทั้งที่เราก็ออกเสียงตามคำอ่านภาษาไทยที่บอกในเล่มแล้ว ทำให้เราไม่มั่นใจในจุดนี้ว่าหนังสือเล่มนี้มันเขียนมาถูกแล้วรึเปล่า หรืออาจจะเป็นแค่บางคำที่ให้คำอ่านมาผิด...หรือในซีดีอาจจะออกเสียงถูกแล้วก็ได้ เหตุนี้จึงให้สี่ดาวจ้า

นักเขียนรางวัลซีไรต์อย่างวินทร์ เลียววาริณวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นต่างๆในสังคมไทยอย่างตรงไปตรงมาและเสียดสีตามสไตล์ โดยชี้แนวทางให้ผู้อ่านเดินออกจากเส้น “Event Horizon” (แปลว่าขอบหลุมดำที่หากก้าวข้ามผ่านไปจะถูกหลุมดำดูดกลืนไปตลอดกาล) ไอเดียของวินทร์ทำให้เล่มนี้ดูเป็นหนังสือโลกสวยแต่ยังสะท้อนความเป็นจริง หาทางออก วิธีรับมือกับปัญหาซึ่งอาจใช้เวลานานในการเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้คน
ใครก็ตามที่อยู่ประเทศไทยมานานจนซึมซับวัฒนธรรมมากพอ ถ้าได้อ่านเล่มนี้คงรู้สึกจุกไม่เบาเพราะ วินทร์ เลียววาริณมีสไตล์การเขียนที่ตรงประเด็น และแดกดันมาก (เล่มอื่นของนักเขียนคนนี้ก็เป็น) แต่อ่านแล้วฮาทุกย่อหน้า คิดตามทุกบรรทัด จนอาจทำให้หลายคนเปลี่ยนมุมมองที่มีต่ออะไรหลายอย่าง
หัวกลวงในหลุมดำแบ่งออกเป็นหกบท เช่น เรากรอกอะไรใส่หัวเด็กในห้องเรียน(จิกกัดระบบการศึกษาไทย) และ ศาสนากับความเชื่อจะพาเราไปที่ไหน ที่วินทร์บอกว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” เป็นสิ่งหนึ่งที่ฝังหัวชาวไทยทำให้เราไม่ก้าวไกลก้านวิทยาศาสตร์อย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังมีบทสุดท้าย คุณค่าของชีวิต ที่กล่าวถึงเรื่องการทำแท้งที่อาจทำให้คนคัดค้านการทำแท้งเถียงไม่ออก หนังสือเล่มนี้ของวินทร์อาจดึงให้หลายคนออกไปเห็นภาพรวมที่ใหญ่ขึ้น หรือถึงขั้นเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาสังคมบางอย่าง หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับผู้ที่อยากเปิดโลกทัศน์ใหม่ แต่ต้องใจกว้างพอที่จะยอมรับความเชื่อและไอเดียใหม่ๆเช่นกัน

นักเขียนรางวัลซีไรต์อย่างวินทร์ เลียววาริณวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นต่างๆในสังคมไทยอย่างตรงไปตรงมาและเสียดสีตามสไตล์ โดยชี้แนวทางให้ผู้อ่านเดินออกจากเส้น “Event Horizon” (แปลว่าขอบหลุมดำที่หากก้าวข้ามผ่านไปจะถูกหลุมดำดูดกลืนไปตลอดกาล) ไอเดียของวินทร์ทำให้เล่มนี้ดูเป็นหนังสือโลกสวยแต่ยังสะท้อนความเป็นจริง หาทางออก วิธีรับมือกับปัญหาซึ่งอาจใช้เวลานานในการเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้คน
ใครก็ตามที่อยู่ประเทศไทยมานานจนซึมซับวัฒนธรรมมากพอ ถ้าได้อ่านเล่มนี้คงรู้สึกจุกไม่เบาเพราะ วินทร์ เลียววาริณมีสไตล์การเขียนที่ตรงประเด็น และแดกดันมาก (เล่มอื่นของนักเขียนคนนี้ก็เป็น) แต่อ่านแล้วฮาทุกย่อหน้า คิดตามทุกบรรทัด จนอาจทำให้หลายคนเปลี่ยนมุมมองที่มีต่ออะไรหลายอย่าง
หัวกลวงในหลุมดำแบ่งออกเป็นหกบท เช่น เรากรอกอะไรใส่หัวเด็กในห้องเรียน(จิกกัดระบบการศึกษาไทย) และ ศาสนากับความเชื่อจะพาเราไปที่ไหน ที่วินทร์บอกว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” เป็นสิ่งหนึ่งที่ฝังหัวชาวไทยทำให้เราไม่ก้าวไกลก้านวิทยาศาสตร์อย่างที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังมีบทสุดท้าย คุณค่าของชีวิต ที่กล่าวถึงเรื่องการทำแท้งที่อาจทำให้คนคัดค้านการทำแท้งเถียงไม่ออก หนังสือเล่มนี้ของวินทร์อาจดึงให้หลายคนออกไปเห็นภาพรวมที่ใหญ่ขึ้น หรือถึงขั้นเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาสังคมบางอย่าง หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับผู้ที่อยากเปิดโลกทัศน์ใหม่ แต่ต้องใจกว้างพอที่จะยอมรับความเชื่อและไอเดียใหม่ๆเช่นกัน

นิยาย Sci-fi อีกเล่มของวินทร์ เลียววาริณ จับฟิสิกส์จักรวาลวิทยา จักรวาลคู่ขนาน มาผสมกับแนวคิดปรัชญาเต๋า เลยจนไปถึงขั้นอจินไตย (ที่พระพุทธเจ้าเคยบอกว่าอย่าไปคิด เพราะคิดยังไงก็หาคำตอบไม่ได้ คิดมากไปก็เป็นบ้าซะเปล่า เช่นเรื่องกำเนิดจักรวาล ใครสร้างโลกและเพื่ออะไร) ก็ถือว่าเดินเรื่องได้ดี พล็อตดี ข้อมูลเป๊ะมาก คือ เอาความรู้มารวมกับความเป็นนิยายจนทึ่งกับความครีเอทีฟ คือคิดได้ไง.. เราชอบความคิดและการผสมผสานศาสตร์ต่างๆออกมาอย่างมีเหตุผล แต่ตอนจบอาจจะง่ายไปรึเปล่า ไม่ได้หักมุมมากมาย แถมยังอัดเนื้อหาวิชาการเยอะมาก ภาษาทางการไปหน่อย จนความสนุกของ”นิยาย”แทบจะหายไป
สำหรับเราแล้ว อัฏฐสุตรายังไม่ถือว่าน่าติดตามเท่าที่ควรเพราะให้ความรู้สึกเหมือนหนังสือเรียนที่พยายามเป็นนิยาย มากกว่านิยายที่พยายามแทรกความรู้ วินทร์เองยังบอกในคำนำว่าเล่มนี้เป็นนิยายวิทยาศาสตร์กึ่งสารคดี ที่”แปลว่านวนิยายที่น่าเบื่อเหมือนตำราและใช้อ้างอิงไม่ได้” อ่านแล้วบอกตรงๆว่าไม่โดน ไม่น่าติดตามถึงขั้น”วางไม่ลง” เราเป็นแฟนผลงานของวินทร์มานาน แต่เล่มนี้อาจพูดได้ว่าเป็นเล่มที่ชอบน้อยที่สุดค่ะ ใครที่เคยอ่าน “ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติพิมพ์ครั้งที่85” แล้วหวังว่าเล่มนี้จะสนุกเหมือนกัน บอกเลยว่าอาจจะผิดหวัง เพราะตอนซื้อเราก็หวังอย่างนั้น แต่มันไม่ใช่
แต่ถ้ามองในข้อดี คนที่เพิ่งเริ่มอ่านนิยายวิทยาศาสตร์อาจจะใช้เล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้มองเห็นความยิ่งใหญ่ของจักรวาล เลยระดับศาสนา สอนให้รู้ว่าเราเป็นแค่ซากฝุ่นเล็กๆในความยิ่งใหญ่นี้ ให้เราถ่อมตน โดยยังเห็นคุณค่าของตนเองค่ะ เราไม่ชอบแต่คุณอาจจะชอบก็ได้

นิยาย Sci-fi อีกเล่มของวินทร์ เลียววาริณ จับฟิสิกส์จักรวาลวิทยา จักรวาลคู่ขนาน มาผสมกับแนวคิดปรัชญาเต๋า เลยจนไปถึงขั้นอจินไตย (ที่พระพุทธเจ้าเคยบอกว่าอย่าไปคิด เพราะคิดยังไงก็หาคำตอบไม่ได้ คิดมากไปก็เป็นบ้าซะเปล่า เช่นเรื่องกำเนิดจักรวาล ใครสร้างโลกและเพื่ออะไร) ก็ถือว่าเดินเรื่องได้ดี พล็อตดี ข้อมูลเป๊ะมาก คือ เอาความรู้มารวมกับความเป็นนิยายจนทึ่งกับความครีเอทีฟ คือคิดได้ไง.. เราชอบความคิดและการผสมผสานศาสตร์ต่างๆออกมาอย่างมีเหตุผล แต่ตอนจบอาจจะง่ายไปรึเปล่า ไม่ได้หักมุมมากมาย แถมยังอัดเนื้อหาวิชาการเยอะมาก ภาษาทางการไปหน่อย จนความสนุกของ”นิยาย”แทบจะหายไป
สำหรับเราแล้ว อัฏฐสุตรายังไม่ถือว่าน่าติดตามเท่าที่ควรเพราะให้ความรู้สึกเหมือนหนังสือเรียนที่พยายามเป็นนิยาย มากกว่านิยายที่พยายามแทรกความรู้ วินทร์เองยังบอกในคำนำว่าเล่มนี้เป็นนิยายวิทยาศาสตร์กึ่งสารคดี ที่”แปลว่านวนิยายที่น่าเบื่อเหมือนตำราและใช้อ้างอิงไม่ได้” อ่านแล้วบอกตรงๆว่าไม่โดน ไม่น่าติดตามถึงขั้น”วางไม่ลง” เราเป็นแฟนผลงานของวินทร์มานาน แต่เล่มนี้อาจพูดได้ว่าเป็นเล่มที่ชอบน้อยที่สุดค่ะ ใครที่เคยอ่าน “ผู้ชายคนที่ตามรักเธอทุกชาติพิมพ์ครั้งที่85” แล้วหวังว่าเล่มนี้จะสนุกเหมือนกัน บอกเลยว่าอาจจะผิดหวัง เพราะตอนซื้อเราก็หวังอย่างนั้น แต่มันไม่ใช่
แต่ถ้ามองในข้อดี คนที่เพิ่งเริ่มอ่านนิยายวิทยาศาสตร์อาจจะใช้เล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้มองเห็นความยิ่งใหญ่ของจักรวาล เลยระดับศาสนา สอนให้รู้ว่าเราเป็นแค่ซากฝุ่นเล็กๆในความยิ่งใหญ่นี้ ให้เราถ่อมตน โดยยังเห็นคุณค่าของตนเองค่ะ เราไม่ชอบแต่คุณอาจจะชอบก็ได้

พจนานุกรมไทย-อังกฤษฉบับทันสมัย ปกสีเขียวของซีเอ็ด นอกจากมีศัพท์ธรรมดาสามัญกว่าสามหมื่นคำและฟังก์ชั่นการใช้ที่พจนานุกรมทั่วไปพึงมีแล้ว ยังมีศัพท์เฉพาะทางสายวิชาต่างๆที่ละเอียดดี น่าพอใจ ภาพประกอบไม่มากไม่น้อยเกินไป วาดเข้าใจง่าย มีแถบตัวอักษร ก-ฮ หาคำศัพท์ง่าย บอกวิธีใช้ละเอียดที่ด้านหน้า ที่ถูกใจมากที่สุดคือภาคผนวกด้านหลังแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่นยศทหาร ยศตำรวจ หน่วยงานราชการต่างๆ ศัพท์ทางการแพทย์เบื้องต้น ไปจนถึงชื่อธาตุ ชื่อเมือง ชื่อประเทศ ชื่อพืช สัตว์ อวัยวะในร่างกาย กลุ่มดาว ไปจนถึง สำนวน สุภาษิต คำพังเพย! ที่จริงมีอีกหลายหมวดหมู่เลยค่ะ ในฐานะเป็นนักแปลคนหนึ่ง เราก็เลยปลื้มตรงนี้มาก
แต่เล่มนี้ไม่มีตัวอย่างการใช้กับคำอ่านภาษาอังกฤษนะคะ ไม่รู้พจนานุกรมไทย-อังกฤษเล่มอื่นมีมั้ย อาจจะจำเป็นสำหรับบางคน แต่หลายคนคิดว่ามันไม่จำเป็น เพราะถ้าคำอ่านคงหนากว่านี้หลายร้อยหน้า ถ้าไม่มั่นใจการออกเสียงก็ต้องเปิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษ-ไทย หรือ อังกฤษ-อังกฤษอ่านเอง (พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ เป็นอักษรโฟเนติกส์)
เราชอบพจนานุกรมภาษาไทย-อังกฤษตรงที่มันเป็น Thesaurus แบบย่อๆ มีคำให้เลือกใช้เยอะ ดังนั้นเวลาจะเลือกใช้จริงๆแนะนำว่าควรเปิดแบบอังกฤษ-ไทยร่วมด้วยเพื่อความชัวร์ สรุปก็ต้องใช้หลายเล่มอยู่ดีค่ะ
ด้านในเป็นขาวดำทั้งเล่ม ไม่มีภาพสี ซึ่งก็ไม่ได้จำเป็นอยู่แล้ว ราคาก็เลยน่ารักสบายกระเป๋า นักเรียน นักศึกษา นักแปล บุคคลทั่วไปควรมีติดบ้านไว้ เพราะยังไงก็ต้องได้ใช้ในการเรียนการงาน ขนาดพอดีมือ ไม่ใหญ่เทอะทะ พกพาง่าย หนา736หน้า คุ้มมาก!

พจนานุกรมไทย-อังกฤษฉบับทันสมัย ปกสีเขียวของซีเอ็ด นอกจากมีศัพท์ธรรมดาสามัญกว่าสามหมื่นคำและฟังก์ชั่นการใช้ที่พจนานุกรมทั่วไปพึงมีแล้ว ยังมีศัพท์เฉพาะทางสายวิชาต่างๆที่ละเอียดดี น่าพอใจ ภาพประกอบไม่มากไม่น้อยเกินไป วาดเข้าใจง่าย มีแถบตัวอักษร ก-ฮ หาคำศัพท์ง่าย บอกวิธีใช้ละเอียดที่ด้านหน้า ที่ถูกใจมากที่สุดคือภาคผนวกด้านหลังแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่นยศทหาร ยศตำรวจ หน่วยงานราชการต่างๆ ศัพท์ทางการแพทย์เบื้องต้น ไปจนถึงชื่อธาตุ ชื่อเมือง ชื่อประเทศ ชื่อพืช สัตว์ อวัยวะในร่างกาย กลุ่มดาว ไปจนถึง สำนวน สุภาษิต คำพังเพย! ที่จริงมีอีกหลายหมวดหมู่เลยค่ะ ในฐานะเป็นนักแปลคนหนึ่ง เราก็เลยปลื้มตรงนี้มาก
แต่เล่มนี้ไม่มีตัวอย่างการใช้กับคำอ่านภาษาอังกฤษนะคะ ไม่รู้พจนานุกรมไทย-อังกฤษเล่มอื่นมีมั้ย อาจจะจำเป็นสำหรับบางคน แต่หลายคนคิดว่ามันไม่จำเป็น เพราะถ้าคำอ่านคงหนากว่านี้หลายร้อยหน้า ถ้าไม่มั่นใจการออกเสียงก็ต้องเปิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษ-ไทย หรือ อังกฤษ-อังกฤษอ่านเอง (พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ เป็นอักษรโฟเนติกส์)
เราชอบพจนานุกรมภาษาไทย-อังกฤษตรงที่มันเป็น Thesaurus แบบย่อๆ มีคำให้เลือกใช้เยอะ ดังนั้นเวลาจะเลือกใช้จริงๆแนะนำว่าควรเปิดแบบอังกฤษ-ไทยร่วมด้วยเพื่อความชัวร์ สรุปก็ต้องใช้หลายเล่มอยู่ดีค่ะ
ด้านในเป็นขาวดำทั้งเล่ม ไม่มีภาพสี ซึ่งก็ไม่ได้จำเป็นอยู่แล้ว ราคาก็เลยน่ารักสบายกระเป๋า นักเรียน นักศึกษา นักแปล บุคคลทั่วไปควรมีติดบ้านไว้ เพราะยังไงก็ต้องได้ใช้ในการเรียนการงาน ขนาดพอดีมือ ไม่ใหญ่เทอะทะ พกพาง่าย หนา736หน้า คุ้มมาก!

ครอบครัวเป็นหน่วยทางสังคมที่เล็กที่สุดแต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้หน่วยอื่นๆ เพราะหน้าที่หลักของครอบครัวคืออบรมและผลิตสมาชิกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่กว้างขึ้นไป ครอบครัวไทยสมัยก่อนจะมีความสนิทสนมกันมาก แต่ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางครอบครัวจากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้นเหมือนทางตะวันตก ผู้สูงอายุถูกลดบทบาทและความสำคัญลง สมาชิกครอบครัวอาจออกไปทำงานในเมืองใหญ่ ทำให้ต้องทิ้งผู้สูงอายุอยู่ที่บ้านตามลำพัง หรือบางคนอาจต้องไปบ้านพักคนชรา สังคมที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบันทำให้หลายคนคิดว่าเงินคือพระเจ้า เงินซื้อได้ทุกอย่าง และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเงิน จนลืมสิ่งที่สำคัญกว่าอย่างพ่อแม่ไป ไม่มีเวลาดูแลจนต้องพาไปไว้ที่บ้านพักคนชราแทน
นิยายเรื่อง เวลา ของชาติ กอบจิตติแสดงถึงสังคมยุคใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากสังคมยุคใหม่ ผ่านการบอกเล่าเรื่องรามของชีวิตผู้สูงอายุเจ็ดคนในบ้านพักคนชราแห่งเดียวกัน เรื่องส่วนใหญ่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุในบ้านพัก การมีปากเสียงกันเรื่องเงิน แต่ละคนตั้งหน้าตั้งตารอการทำบุญจากเงินที่คนแปลกหน้านำมาบริจาค หลายคนรอลูกหลานมาเยี่ยม บรรยากาศเต็มไปด้วยความหดหู่ สิ้นหวัง เพราะตัวละครส่วนใหญ่รอให้ใครสักคนมาเยี่ยมหาตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ แต่ก็ไม่มีใครมาหาเลย หนังสือเล่มนี้ โดยส่วนตัวผู้รีวิวคิดว่าสอนให้เรารู้สึกเห็นใจผู้สูงอายุ อาจสอนให้เราปลงด้วยก็ได้ เพราะตัวละครตัวหนึ่งในอดีตเคยเป็นคุณหญิงคุณนาย มีหน้ามีตาในสังคม แต่สุดท้ายกลับมาลงเอยในสถานที่แบบนี้ เจออดีตคนรับใช้ที่ปัจจุบันมีชีวิตที่ดีกว่าเธอ
เวลา ของชาติ กอบจิตติได้รับรางวัลซีไรต์และรางวัลนวนิยายดีเด่นแห่งชาติปี2537

ครอบครัวเป็นหน่วยทางสังคมที่เล็กที่สุดแต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้หน่วยอื่นๆ เพราะหน้าที่หลักของครอบครัวคืออบรมและผลิตสมาชิกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่กว้างขึ้นไป ครอบครัวไทยสมัยก่อนจะมีความสนิทสนมกันมาก แต่ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางครอบครัวจากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้นเหมือนทางตะวันตก ผู้สูงอายุถูกลดบทบาทและความสำคัญลง สมาชิกครอบครัวอาจออกไปทำงานในเมืองใหญ่ ทำให้ต้องทิ้งผู้สูงอายุอยู่ที่บ้านตามลำพัง หรือบางคนอาจต้องไปบ้านพักคนชรา สังคมที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบันทำให้หลายคนคิดว่าเงินคือพระเจ้า เงินซื้อได้ทุกอย่าง และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเงิน จนลืมสิ่งที่สำคัญกว่าอย่างพ่อแม่ไป ไม่มีเวลาดูแลจนต้องพาไปไว้ที่บ้านพักคนชราแทน
นิยายเรื่อง เวลา ของชาติ กอบจิตติแสดงถึงสังคมยุคใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากสังคมยุคใหม่ ผ่านการบอกเล่าเรื่องรามของชีวิตผู้สูงอายุเจ็ดคนในบ้านพักคนชราแห่งเดียวกัน เรื่องส่วนใหญ่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุในบ้านพัก การมีปากเสียงกันเรื่องเงิน แต่ละคนตั้งหน้าตั้งตารอการทำบุญจากเงินที่คนแปลกหน้านำมาบริจาค หลายคนรอลูกหลานมาเยี่ยม บรรยากาศเต็มไปด้วยความหดหู่ สิ้นหวัง เพราะตัวละครส่วนใหญ่รอให้ใครสักคนมาเยี่ยมหาตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ แต่ก็ไม่มีใครมาหาเลย หนังสือเล่มนี้ โดยส่วนตัวผู้รีวิวคิดว่าสอนให้เรารู้สึกเห็นใจผู้สูงอายุ อาจสอนให้เราปลงด้วยก็ได้ เพราะตัวละครตัวหนึ่งในอดีตเคยเป็นคุณหญิงคุณนาย มีหน้ามีตาในสังคม แต่สุดท้ายกลับมาลงเอยในสถานที่แบบนี้ เจออดีตคนรับใช้ที่ปัจจุบันมีชีวิตที่ดีกว่าเธอ
เวลา ของชาติ กอบจิตติได้รับรางวัลซีไรต์และรางวัลนวนิยายดีเด่นแห่งชาติปี2537

กวน ฮา แดกดัน เสียดสี น่าติดตามจนวางไม่ลง ถ้าหนังสือเล่มนี้ทำเป็นภาพยนตร์ คงกวาดรางวัลไปไม่น้อย เพราะน่าสนใจทั้งบท เนื้อเรื่อง และโดดเด่นในเรื่องของการตัดต่อมาก

วินทร์ เลียววาริณมาในแนวแดกดันตามแบบฉบับของเขา เรื่องราวเริ่มต้นที่นักเขียนผีคนหนึ่งชื่อสาย ธารี เดินชนกับสาวสวยคนหนึ่งที่หัวมุมถนนและตกหลุมรักเธอ เขาคุ้นหน้าเธอ และมั่นใจว่าเคยพบกันมาก่อน ยิ่งเขาขุดคุ้ยก็ยิ่งค้นพบว่าเขากับเธอเคยรักกันในมิติอื่นๆ ชาติภพอื่นๆ โดยแต่ละมิติจะมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์โบราณตั้งแต่ยุคเจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช อะแซหวุ่นกี้ การที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สอง โยงถึงทุ่งแสลงหลวงที่จังหวัดพิษณุโลก รูปปั้นเทพวีนัส ความลับของตัวเลข สัดส่วนของความงาม ไปจนถึงหลุมดำและการเดินทางข้ามมิติต่างๆในจักรวาล ฯลฯ นิยายเล่มนี้จึงผูกทั้งประวัติศาสตร์ การเมือง วิทยาศาสตร์ ความรักเข้าด้วยกัน เคล้าความฮาจากตลกร้าย ประชดประชัน แดกดัน เสียดสีสังคมปัจจุบันตลอดเรื่อง พร้อมลุ้นว่าสุดท้ายแล้ว สาย ธารีจะได้ลงเอยกับสาวสวยที่เขาเดินชนที่หัวมุมตึกหรือไม่ อย่างไร และในมิติไหน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้รีวิวขอแนะนำให้อ่านภาคผนวก2 ก่อนเริ่มอ่านส่วนอื่นๆ เพื่อป้องกันความสับสน เนื่องจากผู้เขียนผสมปนเป หลายสิ่งหลายอย่างเข้าด้วยกันจนผู้อ่านอาจจะแยกไม่ออก ทั้งเรื่องจริงที่เชื่อถือได้และเรื่องที่แต่งขึ้นมาอย่างแนบเนียน หรือจะเริ่มอ่านก่อนแล้วค่อยเปิดไปส่องในภาคผนวกทีหลังก็ได้ นวนิยายเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด มีถึง304หน้า ได้ครบทั้งสาระและบันเทิง

กวน ฮา แดกดัน เสียดสี น่าติดตามจนวางไม่ลง ถ้าหนังสือเล่มนี้ทำเป็นภาพยนตร์ คงกวาดรางวัลไปไม่น้อย เพราะน่าสนใจทั้งบท เนื้อเรื่อง และโดดเด่นในเรื่องของการตัดต่อมาก

วินทร์ เลียววาริณมาในแนวแดกดันตามแบบฉบับของเขา เรื่องราวเริ่มต้นที่นักเขียนผีคนหนึ่งชื่อสาย ธารี เดินชนกับสาวสวยคนหนึ่งที่หัวมุมถนนและตกหลุมรักเธอ เขาคุ้นหน้าเธอ และมั่นใจว่าเคยพบกันมาก่อน ยิ่งเขาขุดคุ้ยก็ยิ่งค้นพบว่าเขากับเธอเคยรักกันในมิติอื่นๆ ชาติภพอื่นๆ โดยแต่ละมิติจะมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์โบราณตั้งแต่ยุคเจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช อะแซหวุ่นกี้ การที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สอง โยงถึงทุ่งแสลงหลวงที่จังหวัดพิษณุโลก รูปปั้นเทพวีนัส ความลับของตัวเลข สัดส่วนของความงาม ไปจนถึงหลุมดำและการเดินทางข้ามมิติต่างๆในจักรวาล ฯลฯ นิยายเล่มนี้จึงผูกทั้งประวัติศาสตร์ การเมือง วิทยาศาสตร์ ความรักเข้าด้วยกัน เคล้าความฮาจากตลกร้าย ประชดประชัน แดกดัน เสียดสีสังคมปัจจุบันตลอดเรื่อง พร้อมลุ้นว่าสุดท้ายแล้ว สาย ธารีจะได้ลงเอยกับสาวสวยที่เขาเดินชนที่หัวมุมตึกหรือไม่ อย่างไร และในมิติไหน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้รีวิวขอแนะนำให้อ่านภาคผนวก2 ก่อนเริ่มอ่านส่วนอื่นๆ เพื่อป้องกันความสับสน เนื่องจากผู้เขียนผสมปนเป หลายสิ่งหลายอย่างเข้าด้วยกันจนผู้อ่านอาจจะแยกไม่ออก ทั้งเรื่องจริงที่เชื่อถือได้และเรื่องที่แต่งขึ้นมาอย่างแนบเนียน หรือจะเริ่มอ่านก่อนแล้วค่อยเปิดไปส่องในภาคผนวกทีหลังก็ได้ นวนิยายเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด มีถึง304หน้า ได้ครบทั้งสาระและบันเทิง